การเหยียดผิว ในวงการฟุตบอล ปัจจุบันกระแสสังคมรณรงค์ต่อต้าน “การเหยียด” ดังมาก โดยเฉพาะในวงการฟุตบอล เช่นเดียวกับฟุตบอลโลก 2022 ปลอกแขนกัปตันทีมมีคำว่า No Discrimination แปลเป็นไทยว่า No Room for Racism หรือ No Room for Racism สกรีนอยู่ที่แขนขวาของพรีเมียร์ ชุดลีก
แต่ถึงกระนั้น ฟุตบอลก็เป็นภาพสะท้อนของการเหยียดเชื้อชาติที่ดี อย่างกรณีกัลโช่ เซเรีย อา ที่มักมีการเหยียดเชื้อชาติ ขนาดมาริโอ บาโลเตลลี ตัวเกรียนยังหลั่งน้ำตา หรือแม้กระทั่งการวิ่งเหยาะๆ อันโตนิโอ รูดิเกอร์กับผู้เล่นชาวญี่ปุ่น มิวาอิยังถูกกล่าวหาว่าเลือกปฏิบัติต่อชาวเอเชียด้วยซ้ำ
โดยทั่วไป วิธีพิจารณาการเหยียดเชื้อชาติมักจะเริ่มต้นจาก “ปัจเจกบุคคล” เป็น “ตัวแสดง” โดยใช้เหตุผลเป็นหลัก อาจมาจากสังคม โครงสร้าง สถาบันทางการเมือง ชุดความคิดที่หล่อหลอมหรือแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เริ่มที่ตัวเรา สันดานเสีย ขาดการอบรม หรือมีความซับซ้อนในวัยเด็กที่ทำให้เราต้องเหยียดสีผิวแบบนี้ก็ยังถือว่าขาดกระแส การวิเคราะห์. “จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)” ซึ่งถือได้ว่าเป็น “มือที่สาม” ของความเข้าใจเหตุการณ์นี้ ดังเช่น ในการศึกษาในโลกอังกฤษหรือโลกตะวันตกที่มีให้เห็นอย่างดาษดื่นมาครึ่งศตวรรษ
การเหยียดผิว ในวงการฟุตบอล มองแบบจิตวิเคราะห์
การเหยียดผิว ในวงการฟุตบอล ไปไกลกว่าจิตวิทยาและโครงสร้าง จิตวิเคราะห์เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเข้าใจการกระทำภายใน “ความไร้สำนึก” โดยเน้นไปที่ “เรื่อง” เป็นหลัก ซึ่งเป็นทางเลือกนอกเหนือจากการหมกมุ่นอยู่กับปัจเจกบุคคล และโครงสร้างหรือวาทกรรมบางอย่างในสังคมศาสตร์ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง
“เนื่องจากสังคมศาสตร์มักจะหมกมุ่นอยู่กับธรรมชาติ วัฒนธรรม หรือสังคม ซึ่งเป็นโครงสร้างหรือสิ่งประดิษฐ์ทางสังคมประเภทหนึ่ง แต่จิตวิเคราะห์ไม่ได้อยู่ในทั้งสามกรณี และนี่คือหัวข้อ” อาจารย์สรวิชญ์ ชัยนาม คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการกล่าวถึงนักวิชาการคนสำคัญที่นำจิตวิเคราะห์มาสู่ชุมชนวิชาการไทยในวิดีโอ In their Views with Sorawit Chainam (III): Psychoanalysis and Leftism โดยสถาบันพระปกเกล้า หัวข้อนี้ไม่ใช่ “สิ่ง” หรือ “อะไร” (ตามที่แนวคิดเชิงนิเวศน์เชิงภววิทยาเชิงวัตถุหรือหลังปรากฎการณ์วิทยาเชิงวัตถุ) แต่เป็นสิ่งที่ “ขาด” อยู่ในตำแหน่ง คิดว่าวิชาขาดตลอด จึงต้องมี “ความปรารถนา” ในการสรรหา “ความสมหวัง” อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน แต่เนื่องจากเรื่องนั้นไม่ได้ “สมบูรณ์แบบ” มาก่อน ข้อบกพร่องหรือ “มากเกินไป” มากขึ้นเรื่อยๆ จึงเติมเต็มอย่างไม่สิ้นสุด
สรวิชญ์ยังกล่าวอีกว่า สิ่งนี้ทำให้ “วิชาเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับธรรมชาติ วัฒนธรรม และสังคม มันแปลก ๆ. ขัดต่อผลประโยชน์ของตนเองหรือมักจะขัดกันเองโดยที่เราไม่รู้ตัว”
เวลาเติมก็เลยไม่เต็ม เนื้อเรื่องจึงเหมือน “ชูชก” ตัวละครจากเวสสันดรชาดก กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม แต่วิชาไม่ตายเหมือนชูชก แต่เติมเต็มไม่สิ้นสุด ทำให้การตัดสินใจด้วยเหตุและผลหรือฐานเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่ประชาชนคาดหวัง เพราะสุดท้ายความอยากก็เป็นเรื่องของจิตไร้สำนึกที่ปัดเป่า เพื่อเข้ามาเติมเต็มตัวคุณ ดังนั้น การเริ่มต้นจากจิตวิเคราะห์เพื่อพิจารณาสิ่งต่าง ๆ จึงจะถือว่า “พัง” หรือ “ไปไกลกว่า” ได้ 2 วิธี ดังนี้
อย่างแรกคือจิตวิทยาแม้ว่าจะขึ้นต้นด้วยคำว่า “จิตใจ” อีกทั้งยังมีบิดาแห่งวิทยาศาสตร์คนเดียวกันคือ “ซิกมุนด์ ฟรอยด์” ก่อนที่จะแยกทางกัน จิตวิเคราะห์ได้รับการพัฒนาต่อยอดโดย “Jacques Lacan” นักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ชาวฝรั่งเศส ที่ไม่เคยเขียนหนังสือจิตวิเคราะห์ ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้มาจะมาจากการตามรอย “บันทึกการสอน (สัมมนา)”
ประการแรกคือ จิตวิทยา (Psychology)
รวมถึงมีบิดาแห่งวิทยาศาสตร์คนเดียวกันคือ “ซิกมุนด์ ฟรอยด์” ก่อนแยกทางกัน จิตวิเคราะห์ได้รับการพัฒนาต่อยอดผ่าน “ฌาคส์ ลากอง” นักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ชาวฝรั่งเศส ที่ไม่เคยเขียนหนังสือจิตวิเคราะห์ ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้มาจะมาจากการเดินตามทาง แต่ทั้งสองต่างกันมาก โดยเฉพาะในเรื่องของ “หน่วยการเรียน” ในสาขาวิชาจิตวิทยา การศึกษายังคงอยู่บนพื้นฐานของ “มนุษย์” ซึ่งทำหน้าที่ในการคิด พิจารณา ตัดสินใจ และกระทำการต่างๆ ด้วยสมองของ “มนุษย์” หรือกล่าวให้น้อยที่สุด จิตวิทยาสนใจในส่วนลึกของการกระทำของ “บุคคล” แต่ละบุคคล ไม่ว่าจะอธิบายผ่านธรรมชาติของพวกเขา การหล่อหลอมความคิด การตัดสินใจ ความมุ่งมั่นที่ดูห่างไกลจากปัจเจกบุคคล แต่สุดท้ายมักถ่ายทอดด้วย “ตัวแสดง” ทั้งสิ้น
เช่น ถามใครสักคนว่า “ทำไมคุณต้องเหยียดเชื้อชาติ” ถ้าใช้หลักจิตวิทยาในการไขคำตอบต้องศึกษาวิธีคิดของแต่ละบุคคล อาจจะสุ่มไปตามถนน หรือเดินไปที่ KKK หรือศึกษาความคิดของผู้นำฝ่ายขวาจัดหรือฝ่ายขวาประชานิยม เช่น โดนัลด์ ทรัมป์ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี หรือวิคเตอร์ ออร์บัน เหตุใดจึงต้องใช้นโยบายดังกล่าว แต่ไม่ใช่ด้วยจิตวิเคราะห์ เพราะมันอาจถามต่อไปว่าทำไมผู้คนถึง “มุ่งมั่น” ในการเหยียดเชื้อชาติ? อะไรคือ “เสน่ห์” ของการเหยียดเชื้อชาติ? หากการเหยียดเชื้อชาติเป็นเพียงภาพลวงตาหรือสิ่งที่เราทำให้เราเชื่อ ก็ไม่มีหลักฐานทางชีววิทยา ทำไมยังมีแพร่หลายในสังคม? เหตุใดมนุษย์ผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญาและความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลจึงไม่เคยยอมแพ้? ถึงจะทำได้ทันที? คำถามเหล่านี้ไม่สามารถตอบได้ขึ้นอยู่กับปัจเจกชนเท่านั้น
อีกคำหนึ่งคือวาทกรรมซึ่งเป็นศัพท์ทางสังคมศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก Empty Talk และ Talk Big แต่โดยคร่าว ๆ มันทำงานโดยพึ่งพา “อำนาจ” หรือ “ใครเป็นใหญ่” ใครจะเป็นผู้ “สร้าง” ชุดบางชุด ของความคิดที่มาชี้นำให้สังคมเป็นไปตามที่ต้องการ หรือเป็นการ “หลอก” ให้บางคนคิดว่าสิ่งนี้ดีที่สุด จริงที่สุด ดีที่สุดโดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ มหัศจรรย์ที่กลั่นกรองจาก “สถาบันหลัก” ทางสังคมต่างๆ เช่น วาทกรรม “ชาติ ศาสตร์ พระราชา” ที่ใช้สร้าง “ความเป็นไทย” และ “การรวมเลือดเนื้อไทย” การเหยียดผิว ในวงการฟุตบอล
ความสำราญที่ถูกช่วงชิง
ซึ่งเป็นการตามรอยคำบรรยายคลาสสิกของการเมืองไทยที่มักจบลงที่ “ชุมชนในจินตนาการ” ของ เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน ปรมาจารย์ด้านไทยศึกษาของคณาจารย์หลายท่านในประเทศไทยว่า แท้จริงแล้ว ความเป็นไทยถูกสร้างขึ้นผ่าน “รัฐสมัยใหม่” อ้างอิงจาก “พื้นที่ที่ใช้ร่วมกันมีอดีตร่วมกันและมีศัตรูร่วมกัน” ที่ทำซ้ำในคำอธิบายของวัฒนธรรม “เชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย” รวมหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่เช่นเดียวกับข้างต้น เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะอธิบายว่าความเป็นชาติถูกสร้างขึ้นผ่านโครงสร้างต่างๆ และเป็นปัญหาของรัฐสมัยใหม่ สำหรับสิ่งนี้ไม่ได้ลงลึกว่าทำไมผู้คนถึง “ยึดมั่น” กับการก่อสร้างนี้อย่างเข้มข้นโดยรู้ว่าสิ่งนี้ไม่มีความจริงทางชีวภาพ หรือจะเป็น “ควายโง่ปัญญาอ่อน” มากเกินไปที่ใส่เสื้อเชียร์ทีมชาติกระโดดโลดเต้นดีใจที่ชาติชนะ? หรือแม้แต่เอาไว้วิ่งไล่กระทืบคู่แข่งชาติอื่นแบบไร้ข้อกังขา จึงไม่น่าแปลกใจที่จิตวิเคราะห์จะผงาดขึ้นชื่อว่า “ทฤษฎีทางเลือก” ในการทำความเข้าใจเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกอีกครั้ง หลังมรณภาพไปแล้วครึ่งศตวรรษ
เพื่อให้เข้าใจการเหยียดเชื้อชาติผ่านการวิเคราะห์ทางจิต สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจวิธีคิดเกี่ยวกับ “ความเพลิดเพลิน” และ “ความอดทน” Ysantt] แต่คำศัพท์นั้นซับซ้อนและแปลกประหลาดกว่านั้น ดังนั้นในที่นี้จึงใช้ภาษาไทยตามความเพลิดเพลินทั้งหมดเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างภาษาต่างๆ) เป็นคำศัพท์ทางจิตวิเคราะห์ของ Lagnant นี่อาจหมายถึงการพอใจกับบางสิ่งมากเกินไป หรือความพอใจที่ได้ “ขโมย” ของคนอื่นมาเติมเต็มและลบวิชาที่ขาดไป
ดังนั้นความสุขจึงปรากฏชัดในเรื่อง ที่โหยหาการเติมเต็มในสิ่งที่ตัวเองขาดอยู่ตลอดเวลา นั่นคือ ผู้ทดลองรู้สึก “แปลก” กับความสุขของตนเอง เพราะผู้ทดลองไม่เคยมีมันอย่างครบถ้วน และต้องร้องตะโกนอยู่เสมอ(มีความสุขไม่มีขาด) เพราะคิดว่าความสุขของคนอื่นมีมากกว่าความสุขของตัวเอง หรือคนอื่นเติมเต็มความสุขได้มากกว่าตัวเอง
ดังที่ Lacon ตั้งข้อสังเกต การสะท้อนของทารกอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อระบุว่าเขาหรือเธอสมบูรณ์แล้ว ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น ทำให้ต้องสรรหาความเป็น “องค์รวม” ผ่านภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกตลอดเวลา ที่นี่ อุดมการณ์ในโลกปัจจุบันที่ “เห็นแก่ตน” เป็นองค์รวมที่สุดคือ “ชาตินิยม” ซึ่งมีองค์ประกอบที่เรียกว่า “Je ne sais quoi” ” ที่แปลเป็นไทยได้ว่า “มีลักษณะที่อธิบายหรือนิยามได้ไม่ยาก” ที่ทำให้ผู้ถูกมองว่ามีความพิเศษ มีเอกลักษณ์ แตกต่างจากสิ่งอื่น ทำให้สามารถ “รวม” วิชาเข้าด้วยกันได้ รวมถึงความจริงที่ว่าการกลับชาติมาเกิดเป็นภาพสะท้อนที่ทำให้ผู้ทดลองมองเห็นตัวเองว่าต้องการจะเป็นอะไร นั่นคือความสมบูรณ์และความคงทน ซึ่งสิ่งที่ขาดไปนั้นถือได้ว่ามนุษย์เป็นกรรมแห่งความปรารถนา (ชาติ)
แต่รวมๆแล้วชาตินี้เรียกได้ว่า “ของ” ที่ให้อรรถรสเต็มๆ และถูกลดทอนให้เป็น “วิถีชาวบ้าน” บางอย่างที่มีความ “พิเศษ” ในเรื่องให้เพลิดเพลิน เช่น อังกฤษ ฟุตบอล เที่ยวผับ หรือไทย อาจสถาบันพระมหากษัตริย์ มวยไทย kt “ตกเป็นทาสโดยสมัครใจ” และอดทนต่อการกดขี่ทุกรูปแบบ เฉพาะในกรณีที่สิ่งนั้นไม่ได้ถูกฉกฉวยไปการเหยียดผิว ในวงการฟุตบอล
หรืออาจกล่าวได้ว่าการเสพสุขร่วมกันในชาติเชื่อมโยงกับการ “เบียดเบียน วัตถุซึ่งไม่มีตัวตนร่วมกันนี้” ทั้งที่บางอย่างยังไม่โดดเด่นพอที่จะเป็นของของชาติได้ เช่น สถาบันกษัตริย์ซึ่งมีอยู่มากมาย สถานที่อื่น ๆ ในโลก แต่นี่คือของไทยที่ว่า “แม้ใครคิดข่มเหงข้าแต่ธุลี ขอพลีชีพแทน”